เคล็ดลับคู่ช่าง
June 11, 2025

แบตเตอรี่รถยนต์เสื่อมใน 1 ปี เพราะอะไร? ไม่อยากเปลี่ยนบ่อย อ่านด่วนนน

แบตเตอรี่รถยนต์เสื่อมใน 1 ปี ทั้งๆ ที่พึ่งเปลี่ยนไปไม่นาน ESB จะพาไปดูสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้แบตเตอรี่รถยนต์เสื่อม พร้อมเทคนิคดูแล ที่ช่วยให้แบตเตอรี่ใช้งานคุ้มยิ่งขึ้น

แบตเตอรี่รถยนต์เสื่อมใน 1 ปี ทั้งๆ ที่พึ่งเปลี่ยนไปไม่นาน หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมอายุการใช้งานถึงสั้นกว่า ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ใช้งานหนัก หรือบางคนแทบจะจอดรถมากกว่าขับด้วยซ้ำ ปัญหาแบตเตอรี่รถยนต์ 1 ปี เสื่อม ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมการใช้รถ การดูแลรักษา หรือแม้แต่สภาพแวดล้อมรอบตัวที่หลายคนมองข้าม

หากไม่อยากเสียเงินเปลี่ยนแบตบ่อยโดยไม่จำเป็น ESB จะพาไปดูสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้แบตเตอรี่รถยนต์เสื่อมไวใน 1 ปี พร้อมเทคนิคดูแลง่ายๆ ที่ช่วยให้แบตเตอรี่ใช้งานได้คุ้มค่ายิ่งขึ้น

ทำไมแบตรถยนต์บางลูกถึงเสื่อมภายใน 1 ปี ทั้งที่ควรใช้งานได้ 1-5 ปี

โดยทั่วไป แบตเตอรี่รถยนต์ มักถูกออกแบบให้ใช้งานได้ประมาณ 1 - 5 ปีขึ้นไป แต่ในบางครั้งกลับมีคนขับหลายคนต้องเจอกับปัญหา แบตเตอรี่รถยนต์ 1 ปี เสื่อม โดยไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงว่าเกิดขึ้นได้อย่างไรแต่มักจะบอกว่าแบตเตอรี่ไม่มีคุณภาพ 

ซึ่งอันที่จริงปัญหานี้ไม่ได้เกิดจากคุณภาพของแบตเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการใช้งาน และปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ที่ส่งผลต่ออายุของแบตเตอรี่ ก่อนจะเปลี่ยนแบตใหม่ ลองเช็กดูก่อนว่าคุณกำลังทำพฤติกรรมเหล่านี้อยู่หรือไม่ เพราะอาจเป็นสาเหตุที่แท้จริงทำให้แบตรถยนต์ของคุณเสื่อมใน 1 ปี

การใช้งานรถระยะสั้นบ่อย ๆ

การขับรถในระยะทางสั้น ๆ บ่อยครั้ง เช่น ขับไปตลาดใกล้บ้านแล้วดับเครื่องทันที อาจดูเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่จริง ๆ แล้วพฤติกรรมแบบนี้ส่งผลเสียต่อแบตเตอรี่โดยตรง เพราะในระยะเวลาสั้น ๆ ไดชาร์จยังไม่ทันได้ทำงานเต็มประสิทธิภาพ ไม่สามารถชาร์จไฟกลับเข้าแบตเตอรี่ได้เพียงพอ เพื่อชดเชยพลังงานที่ใช้ไปขณะสตาร์ทรถ

เมื่อไฟในแบตไม่ได้รับการเติมเต็มอย่างต่อเนื่อง แบตเตอรี่จะค่อย ๆ เสื่อมลงโดยที่เราไม่ทันรู้ตัว และหากทำพฤติกรรมนี้ซ้ำ ๆ บ่อยครั้ง ก็จะยิ่งเร่งให้อายุการใช้งานของแบตสั้นลง แม้ว่าแบตจะเพิ่งเปลี่ยนใหม่ก็ตาม

ลืมปิดไฟหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าในรถ

อุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชิ้นในรถไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ล้วนมีการดึงพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่รถยนต์ไปใช้งานทั้งสิ้น แม้เพียงการลืมปิดไฟห้องโดยสารเล็ก ๆ หรือเสียบสายชาร์จมือถือไว้ตลอดคืนก็ทำให้ไฟในแบตเตอรี่ถูกดึงไปใช้อย่างช้าๆ จนแบตหมดหรือเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติโดยไม่รู้ตัว 

แม้กระทั่งบางครั้งคนขับรถก็เผลอลืมว่าระบบบางอย่างในรถยังคงทำงาน แม้จะดับเครื่องยนต์แล้ว เช่น กล้องติดหน้ารถหรือเครื่องเสียงที่ไม่ได้ถอดออกจากระบบ การปล่อยให้แบตโดนดูดไฟแบบนี้ต่อเนื่อง โดยที่ไม่มีการสตาร์ทรถเพื่อชาร์จไฟกลับ ทำให้แบตอ่อนแรงตลอดเวลา

พฤติกรรมแบบนี้มักเกิดขึ้นตอนจอดรถในตอนกลางคืน และมารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่สตาร์ทรถไม่ติดในเช้าวันรุ่งขึ้น หากเกิดขึ้นบ่อยครั้งจะทำให้แบตอ่อนแรงเรื่อยๆ และทำให้แบตเตอรี่รถยนต์เสื่อมใน 1 ปี

ระบบชาร์จไฟในรถมีปัญหา

ไดชาร์จในรถยนต์ถือเป็นอุปกรณ์หลักที่ทำหน้าที่ผลิตกระแสไฟฟ้าและจ่ายไฟกลับเข้าสู่แบตเตอรี่ โดยจะเริ่มทำงานทันทีเมื่อสตาร์ทรถยนต์ และจะทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพเมื่อขับในระยะทางไกล หากไดชาร์จเริ่มเสื่อมสภาพ ประสิทธิภาพในการชาร์จไฟก็จะลดลง ส่งผลให้แบตเตอรี่มีพลังงานไม่เพียงพอในการจ่ายไฟให้กับระบบต่าง ๆ ของรถ

โดยทั่วไป ปัญหาไดชาร์จมักไม่แสดงอาการชัดเจนในช่วงแรก แต่จะเริ่มส่งผลกับอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในรถ เช่น ระบบไฟรวน แสงไฟสว่างน้อยลงหรือกระพริบผิดปกติ หน้าต่างไฟฟ้าเลื่อนช้าลง รถสตาร์ทติดยาก ได้ยินเสียงผิดปกติจากใต้ท้องรถ มีกลิ่นเหม็นไหม้ หรือมีสัญลักษณ์รูปแบตเตอรี่บนหน้าปัดปรากฏขึ้น รวมถึงแบตเตอรี่รถยนต์เสื่อนใน 1 ปี ซึ่งล้วนเป็นสัญญาณเตือนว่าไดชาร์จอาจกำลังมีปัญหา

สภาพอากาศร้อนจัดหรือเย็นจัด

อุณหภูมิที่ร้อนจัดหรือเย็นจัดจะเป็นตัวเร่งให้แบตเตอรี่รถยนต์เสื่อมลงอย่างรวดเร็ว โดยอากาศที่ร้อนจัด (สูงกว่า 60 องศาเซลเซียส) จะทำให้อิเล็กโทรไลต์ (สารที่ช่วยให้เกิดการไหลเวียนระหว่างกระแสไฟฟ้าขั้วบวกขั้วลบ ทำให้แบตเตอรี่สามารถชาร์จและคายประจุไฟฟ้าได้) ในแบตเตอรี่ระเหยเร็วขึ้น ทั้งยังเร่งปฏิกิริยาทางเคมี ทำให้ตัวแบตเตอรี่ถูกกัดกร่อนไวขึ้นทำให้เกิดสนิมและรบกวนการไหลเวียนของกระแสไฟฟ้า ทั้งยังทำให้แบตเตอรี่ชาร์จไฟมากเกินไป จนทำให้แบตเตอรี่รถยนต์เสี่ยงต่อความผันผวนมากขึ้น

นอกจากอากาศที่ร้อนจัดจะส่งผลเสียต่อแบตเตอรี่รถยนต์แล้ว อากาศเย็นจัด(ต่ำกว่า 20 องศาเซลเซียส)ก็อันตรายไม่แพ้กัน โดยจะทำให้ปฏิกิริยาทางเคมีในแบตเตอรี่รถยนต์น้อยลงสังเกตได้จากการสตาร์ทรถยากในช่วงฤดูหนาวส่งผลให้แบตทำงานหนักขึ้น ทำให้อิเล็กโทไลต์ข้นขึ้น ซึ่งส่งผลต่อการไหลเวียนของกระแสไฟ ทั้งยังให้ประสิทธิภาพในการกักเก็บกระแสไฟของแบตรถลง ส่งผลให้อายุแบตเตอรี่สั้นลงเป็นอย่างมาก

คุณภาพของแบตเตอรี่

ไม่ใช่แบตเตอรี่รถยนต์ทุกลูกจะมีคุณภาพเหมือนกัน ในท้องตลาดมักมีหลากหลายเกรดตั้งแต่ราคาสูงที่ผลิตจากวัสดุคุณภาพดี ได้มาตรฐาน และผ่านการรับรอง ไปจนถึงแบตราคาถูกที่ผลิตจากวัสดุเกรดต่ำ มีประสิทธิภาพในการจ่ายไฟและเก็บประจุได้น้อย ซึ่งมักไม่มีการรับประกัน หรือหากมีก็อาจเป็นการรับประกันระยะสั้นที่แม้จะใช้งานปกติ แบตเตอรี่รถยนต์ก็มักจะเสื่อมใน 1 ปี ซึ่งสร้างภาระให้คนขับในด้านความปลอดภัยและค่าใช้จ่ายที่ต้องเปลี่ยนใหม่ก่อนเวลาอันควร

การเลือกซื้อแบตเตอรี่จึงไม่ควรมองแค่ราคาถูกเท่านั้น แต่ควรพิจารณาจากแหล่งจำหน่ายที่เชื่อถือได้ มีใบรับประกัน และตรวจสอบวันผลิตอย่างชัดเจน เพื่อให้มั่นใจว่าได้แบตเตอรี่คุณภาพดี พร้อมใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพและยืดอายุการใช้งานให้คุ้มค่าที่สุด

การดูแลรักษาไม่ถูกวิธี

เพียงละเลยการดูแลแบตเตอรี่เล็กน้อย แต่อาจเสียหายใหญ่หลวง คนขับรถหลายคนมักเข้าใจว่าแบตเตอรี่รถยนต์เมื่อใส่แล้วก็สามารถใช้งานได้ยาวนานโดยไม่ต้องดูแล จึงไม่เคยเปิดฝากระโปรงขึ้นมาตรวจสอบสภาพแบตเตอรี่เลยว่าเริ่มมีสนิม คราบขี้เกลือ หรือสภาพหรือไม่ โดยเฉพาะในกรณีของแบตเตอรี่แบบน้ำ ที่จำเป็นต้องเติมน้ำกลั่นเป็นระยะเพื่อให้แบตทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

พฤติกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้อาจไม่มีผลต่อการใช้งานแบตเตอร์รี่รถยนต์ในระยะสั้น แต่อาจกลายเป็นต้นเหตุของปัญหาใหญ่ในระยะยาว หากปล่อยให้คราบสกปรกสะสม หรือระดับน้ำกลั่นลดต่ำเกินไป จะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ บางกรณีแบตรถยนต์อาจเสื่อมใน 1 ปี และยังเสี่ยงทำให้ระบบไฟฟ้าภายในรถรวนตามมา

เลือกแบตไม่เหมาะกับรถยนต์

รถยนต์แต่ละรุ่นมีความต้องการพลังงานไฟฟ้าแตกต่างกัน เนื่องจาก ขนาดเครื่องยนต์ อุปกรณ์ไฟฟ้า และระบบเสริมต่าง ๆ ภายในตัวรถ หากเลือกแบตเตอรี่ไม่เหมาะสมจะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมลงอย่างรวดเร็ว เช่น รถรุ่นใหม่ที่มีระบบ Push Start, กล้องรอบคัน หรือระบบช่วยขับอัตโนมัติ จะมีการใช้ไฟมากกว่าเดิม หากเลือกแบตที่มีแอมป์ต่ำกว่าพลังงานที่ใช้ จะทำให้แบตทำงานเกินเกินขีดจำกัดตลอดเวลาทำให้แบตเตอรี่รถยนต์เสื่อมใน 1 ปี 

แม้จะเป็นแบตใหม่หรือแบตดีก็ตามดังนั้นการเลือกแบตที่เหมาะสมกับรุ่นรถและลักษณะการใช้งาน จึงสำคัญไม่น้อยกว่าการเลือกยี่ห้อ ดังนั้นก่อนจะตัดสินใจเปลี่ยนแบตเตอรี่แต่ละครั้ง จึงควรพิจารณาให้ดี เพราะหากเลือกผิด ก็อาจจะทำให้เสียเงินเพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็น

สัญญาณเตือน แบตใกล้เสื่อม

หากคุณเริ่มสตาร์ทรถแล้วรู้สึกว่าเครื่องติดยาก ใช้เวลานานกว่าปกติ หรือได้ยินเสียงแชะๆ เบาๆ ก่อนติดเครื่อง นั่นอาจเป็นสัญญาณแรกว่าแบตเตอรี่รถยนต์ของคุณเริ่มอ่อนแรง โดยเฉพาะหากเกิดบ่อยขึ้นในตอนเช้า หรือหลังจากจอดทิ้งไว้หลายชั่วโมง

อีกหนึ่งสัญญาณสำคัญคือระบบไฟต่าง ๆ ภายในรถเริ่มทำงานได้ไม่เต็มที่ เช่น ไฟหน้าสว่างน้อยลง กระจกไฟฟ้าทำงานช้าลง หรือไฟเตือนแบตโชว์บนหน้าปัดรถ ซึ่งหลายคนมักมองข้าม ทั้งที่เป็นสัญญาณตรงจากระบบรถว่าควรตรวจสอบทันที

หากพบอาการเหล่านี้ ควรรีบนำรถเข้าตรวจเช็กแบตเตอรี่ เพื่อป้องกันการสตาร์ทไม่ติดแบบกะทันหัน แนะนำให้คลิกอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับอาการแบตเสื่อม และวิธีเช็กแบตง่าย ๆ ด้วยตัวเองก่อนตัดสินใจเปลี่ยนใหม่


วิธีป้องกันแบตรถยนต์เสื่อมใน 1 ปี

แม้แบตรถยนต์จะมีอายุการใช้งานเฉลี่ย 1-5 ปี แต่รู้หรือไม่ว่า หากใช้งานผิดวิธีหรือดูแลไม่ดี แบตฯ อาจเสื่อมในเวลาไม่ถึง 1 ปีเลยด้วยซ้ำ ซึ่งไม่เพียงสร้างความยุ่งยาก แต่ยังเสียค่าใช้จ่ายโดยใช่เหตุ ดังนั้น ถ้าไม่อยากให้แบตหมดก่อนเวลาอันควร มาดูวิธีป้องกันที่ควรรู้ไว้ตั้งแต่วันนี้

เลือกใช้แบตเตอรี่คุณภาพดีจากผู้ผลิตที่เชื่อถือได้

การเลือกแบตเตอรี่รถยนต์ไม่ควรตัดสินแค่ราคาถูก เพราะแบตคุณภาพต่ำอาจใช้งานได้ไม่นาน เสื่อมเร็ว หรือทำให้ระบบไฟฟ้าในรถมีปัญหาตามมา ควรเลือกแบตเตอรี่จากผู้ผลิตที่น่าเชื่อถือ มีมาตรฐานการผลิต และรับประกันที่ชัดเจน 

เนื่องจากแบตเตอรี่เหล่านี้มักมีการควบคุมคุณภาพทั้งด้านวัสดุและขั้นตอนการผลิต ผ่านการทดลองในหลายรูปแบบ ทำให้ทนต่อสภาพอากาศ และรองรับการใช้งานหนักได้ดี นอกจากนี้ ควรตรวจสอบวันผลิตของแบตฯ ก่อนซื้อ โดยไม่ควรเกิน 1-2 ปี ตั้งแต่วันที่ผลิต เพื่อให้มั่นใจว่าไม่ได้ค้างสต็อกนานจนสูญเสียประสิทธิภาพไปแล้ว แม้จะยังไม่ได้ใช้งานก็ตาม และอย่าลืมขอใบรับประกันจากร้านค้าไว้ทุกครั้ง

หลีกเลี่ยงการขับรถระยะสั้นบ่อย ๆ

อย่างที่กล่าวไป การขับรถระยะสั้นส่งผลเสียต่อแบตเตอรี่รถยนต์ เพราะเครื่องยนต์ยังไม่มีโอกาสชาร์จไฟกลับเข้าสู่แบตเตอรี่ได้เต็มที่ จึงทำให้แบตฯ ถูกใช้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ได้รับการชาร์จคืน เมื่อทำบ่อย ๆ แบตก็จะเสื่อมเร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ทางที่ดีควรขับรถในระยะทางที่พอให้ไดชาร์จ  มีเวลาเติมพลังไฟฟ้ากลับเข้าแบตฯ เช่น การขับต่อเนื่องเกิน 30 นาทีขึ้นไป หรือหากเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ อาจต้องหาเวลาสตาร์ทรถทิ้งไว้ให้เครื่องยนต์เดินเบา 10-15 นาที สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง เพื่อถนอมแบตเตอรี่ให้ใช้งานได้นานขึ้น

ตรวจสอบและดูแลระบบไฟฟ้าในรถอย่างสม่ำเสมอ

ระบบไฟฟ้าในรถยนต์ เช่น ไดชาร์จ สายพาน และฟิวส์ต่าง ๆ ล้วนมีผลต่อแบตเตอรี่ หากส่วนใดส่วนหนึ่งเริ่มมีปัญหา ก็อาจทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วโดยที่เราไม่รู้ตัว ตัวอย่างเช่น หากไดชาร์จทำงานไม่เต็มที่ ก็จะจ่ายไฟกลับเข้าแบตไม่พอ หรือในบางกรณีก็อาจจ่ายไฟเกิน จนทำให้แบตโอเวอร์ชาร์จและเสื่อมเร็วขึ้น 

ดังนั้นจึงควรมีการตรวจสอบระบบไฟฟ้าภายในตัวรถอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง โดยช่างผู้ชำนาญ หรือในการเข้าศูนย์บริการตามรอบระยะ จะช่วยให้พบปัญหาได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ป้องกันการแบตเตอรี่เสื่อมใน 1 ปี

หมั่นตรวจเช็กระดับน้ำกลั่น (สำหรับแบตน้ำ)

สำหรับรถที่ใช้แบตเตอรี่แบบเติมน้ำกลั่น การดูแลระดับน้ำกลั่นในแบตถือเป็นสิ่งจำเป็น เพราะน้ำกลั่นทำหน้าที่เป็นตัวนำไฟฟ้าและระบายความร้อน หากระดับต่ำกว่าที่กำหนด จะทำให้แบตทำงานผิดปกติ และเสื่อมเร็ว

ควรตรวจเช็กระดับน้ำกลั่นทุก 1-2 เดือน โดยควรดูว่าระดับน้ำกลั่นอยู่ระหว่างขีด Min กับ Max หรือไม่หากต่ำกว่าขีด Min ให้เติมน้ำกลั่นบริสุทธิ์ และอย่าเติมเกินขีด Max เพราะอาจทำให้น้ำล้นออกมาเมื่อแบตเตอรี่ทำงานหนักจนร้อนจัด ซึ่งจะกัดสีรถและตัวถัง

ไม่จอดรถตากแดดเป็นเวลานาน

การจอดรถตากแดดเป็นเวลานานจะทำให้อุณหภูมิภายในตัวรถสูงเกินไป ซึ่งความร้อนจะเร่งปฏิกิริยาเคมีภายในแบต ทำให้เกิดแรงดันสูงและอิเล็กโทรไลต์ระเหยออกเร็ว ส่งผลต่อประสิทธิภาพการชาร์จไฟ และอาจมีคราบกรดขึ้นรอบขั้วแบตเตอรี่ ซึ่งเป็นต้นเหตุของไฟฟ้ารั่วไหลหรือแบตหมดกระทันหัน

ดังนั้นการจอดรถจึงควรหาที่จอดร่ม ๆ ใช้ม่านบังแดดหน้ารถเพื่อช่วยลดอุณหภูมิในตัวรถได้มาก อีกทั้งยังช่วยปกป้องอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่น ๆ ให้มีอายุการใช้งานยาวนานขึ้นด้วย

นำรถเข้าตรวจเช็กระบบไฟฟ้าตามระยะ

การตรวจเช็กรถตามรอบระยะที่กำหนด ไม่ได้ช่วยแค่การดูแลเครื่องยนต์ แต่ยังครอบคลุมถึงระบบไฟฟ้า ซึ่งรวมถึงการทดสอบแรงดันไฟแบตเตอรี่ ทำให้รู้ว่าแบตยังเก็บไฟได้ดีอยู่หรือไม่ รวมถึงการตรวจสอบกระแสไฟขณะสตาร์ทรถ ซึ่งหากต่ำเกินไป อาจต้องเปลี่ยนแบตใหม่ก่อนเกิดปัญหา

ซึ่งการเข้าศูนย์บริการหรือร้านซ่อมที่ได้มาตรฐาน ช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าระบบไฟฟ้าในรถทำงานได้ปกติ พร้อมใช้งานในทุกสถานการณ์ โดยไม่ต้องลุ้นว่าแบตจะหมดกลางทาง

เลือกแบตให้เหมาะ ใช้รถให้ถูกวิธี แบตฯ ก็อยู่ได้นาน ไม่ต้องเปลี่ยนบ่อย

หลายคนเจอกับปัญหาแบตรถยนต์เสื่อมใน 1 ปี ทั้งที่เพิ่งเปลี่ยนแบตใหม่ ซึ่งจริง ๆ แล้วสาเหตุที่ทำให้แบตเสื่อมนั้นมีหลากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมการใช้รถ ระบบไฟฟ้าในรถ และสภาพแวดล้อม รวมไปถึงคุณภาพของแบตเตอรี่รถยนต์ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่ออายุการใช้งานแบตเตอรี่ หากคุณไม่อยากเสียเงินเปลี่ยนแบตบ่อยโดยไม่จำเป็น ลองเริ่มจากเลือกแบตให้เหมาะกับรถ ที่ ESB Battery ผู้ผลิตแบตเตอรี่สากลซึ่งมีแบตเตอรี่ให้เลือกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นแบตแห้ง แบตน้ำ และแบตไฮบริด

ซึ่งการเลือกแบตที่เหมาะสมต้องดูทั้งสเปกรถและลักษณะการใช้งาน เช่น รถที่มีระบบไฟเยอะหรือใช้งานในเมืองเป็นหลัก ควรเลือกแบตที่รองรับการจ่ายไฟต่อเนื่องและทนต่อการสตาร์ทรถบ่อยครั้ง พร้อมกันนี้ ควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เร่งให้แบตเสื่อม เช่น ขับรถระยะสั้นตลอดเวลา ลืมปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าในรถ หรือละเลยการตรวจเช็กระบบชาร์จไฟอย่างไดชาร์จและสายพาน

เพียงแค่เลือกแบตให้ถูก ใช้รถให้ถูกวิธี และดูแลแบตเป็นประจำ ก็ช่วยยืดอายุการใช้งานได้มาก ไม่ต้องเปลี่ยนแบตบ่อยให้เปลืองทั้งเงินและเวลา ESB Battery พร้อมเป็นตัวช่วยที่ตอบโจทย์ทั้งด้านคุณภาพและความมั่นใจ ให้คุณขับขี่ได้อย่างราบรื่นในทุกเส้นทาง

บทความแนะนำ