แบตเตอรี่รถเสื่อม 1 ในปัญหาของคนที่ใช้รถส่วนตัวต้องเจออยู่บ่อยๆ เพราะอาการเสื่อมนั้นเรามักจะมารู้อีกทีก็ตอนที่รถยนต์ของเรามีปัญหาหรือ สตาร์ทไม่ติดไปแล้ว เพื่อเข้าใจและป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเราเหล่านี้ ทีมงาน ESB Battery เราจึงรวบข้อมูลต้นตอของปัญหาแบตเตอรี่รถยนต์เสื่อมและวิธีการดูแลเพื่อเคล็ดลับให้กับทุกๆกัน
แบตเตอรี่เรียกว่าเป็นหัวใจสำคัญของระบบไฟฟ้าในรถยนต์ทุกๆคัน หากแบตเตอรี่เสื่อมสภาพ อาจทำให้รถสตาร์ทไม่ติด หรือทำงานผิดปกติได้ รู้หรือไม่ว่า แบตเตอรี่รถยนต์เสื่อมเกิดจากอะไร และวิธีเช็กแบตเสื่อมต้องทำอย่างไร? บทความนี้มีคำตอบครบจบในที่เดียว!
หากคุณกำลังสงสัยว่าแบตเตอรรี่รถยนต์ของคุณเริ่มเสื่อมสภาพแล้วหรือยัง อาจจะต้องลองสังเกตอาการรถของคุณดังต่อไปนี้:
ระบบไฟฟ้าสว่างน้อยลง – ลองดูที่ระบบไฟทั้งภายในและภายนอกของรถคุณ ว่าไฟหน้า ไฟหลัง ของรถคุณติดปกติไหม หรือระดับความสว่างยังเหมือนเดิมอยู่หรือไม่ รวมไปจนถึงไฟภายในรถยนต์ไฟตรงผู้โดยสารก็เช่นกัน ว่าเปิดใช้งานแล้วยังสว่างปกติหรือเปล่า
รถสตาร์ทติดยากขึ้น – สังเกตจากจังหวะสตาร์ทรถเวลากดปุ่มสตาร์ทรถ หรือเสียบกุญแจแล้วบิดเพื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ลองสังเกตจากจังหวะนี้ว่ามีระยะเวลานานขึ้นกว่าปกติ หรือ มีการสั่นตัวของเครื่องยนต์หรือรถของคุณหรือไม่ ถ้ามีจังหวะที่นานขึ้นหรือผิดปกติจากเดิมนี้อาจจะหนึ่งในอาการเริ่มต้นของแบตเตอรี่เสื่อมก็เป็นได้
แบตเตอรี่บวมขึ้น – ตัวแบตมีอาการบวมผิดปกติอันเห็นได้อย่างชัดเจน ถ้าแบตเตอรี่รถยนต์ของคุณมีอาการบวมหรือมีรูปทรงที่ผิดรูป ผิดแปลก อันนี้บ่งบอกถึงปฏิกิริยาเคมีที่ผิดปกติภายใน ซึ่งลักษณะนี้บอกได้แน่ว่า แบตเตอรี่รถยนต์ของคุณมีปัญหาแล้วแน่ๆ
กระจกไฟฟ้าทำงานช้ากว่าปกติ – เนื่องจากแบตเตอรี่คือศูนย์กลางของการจ่ายไฟของรถยนต์ทุกคัน เมื่อกดปุ่มเลื่อนกระจกขึ้นลง แล้วพบว่าการทำงานช้าลงอย่างเห็นได้ชัดนี้คือ 1 ในอาการของที่บ่งบอกได้แบตเตอรี่รถของคุณเริ่มเสื่อมสภาพแล้วนั้นเอง
เสียงแปลกจากการใช้งานกระจกไฟฟ้า – ในปัจจุบันรถของคุณใช้ระบบไฟฟ้าควบคุมการเปิดปิดกระจก ในช่วงเวลาที่เรามีการเปิดปิดกระจกแล้วมีเสียงแปลกๆเวลาเปิดหรือปิดกระจกนั้น ส่วนนึงจะเป็นผลจากการจ่ายไฟไม่ทั่วถึงจากแบตเตอรี่นั้นเอง ซึ่งนี้อาจจะเป็นจุดที่คุณสามารถสังเกตได้ว่าแบตเตอรี่รถยนต์ของคุณนั้นเริ่มมีอาการเสื่อมสภาพ
ทั้งหมดนี้เป็นแค่ส่วนนึงของอาการเริ่มต้นของแบตเตอรี่รถยนต์เสื่อมที่คนใช้รถทั่วไปสังเกตุได้ง่ายๆ หากพบอาการเหล่านี้ ควรรีบตรวจสอบหรือเปลี่ยนแบตเตอรี่ทันทีอย่าได้ปล่อยปัญหาเหล่าทิ้งไว้นาน
ในปกติแล้วแบตเตอรี่รถยนต์ทั่วไปจะมีอายุการใช้งานอยู่ระหว่าง2 - 3 ปี ซึ่งทั้งนี้ยังมีหลายปัจจัยที่ทำให้แบตเตอรี่รถยนต์เสื่อมเร็วกว่าปกติ เช่น:
ไดชาร์จเสื่อม – ไดชาร์จ หรือที่เรียกอีกชื่อว่า “อัลเทอร์เนเตอร์” เป็นอุปกรณ์ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับระบบไฟฟ้าภายในรถยนต์ โดยการผลิตกระแสไฟฟ้าไปหล่อเลี้ยงระบบต่าง ๆ เช่นระบบแอร์ เครื่องเสียง ไฟหน้า และนำส่วนที่เหลือไปเก็บในแบตเตอรี่ เปรียบเสมือนเป็นแหล่งพลังงานสำรอง ซึ่งถ้าไดชาร์จเสื่อมสภาพหรือทำงานไม่เต็มที่จะส่งผลโดยตรงต่อแบตเตอรี่ไม่ได้รับการชาร์จอย่างเต็มที่และเสื่อมสภาพก่อนกำหนดนั้นเอง
เปิดไฟหน้าหรือไฟในห้องโดยสารทิ้งไว้ – ปัญหานี้เกิดขึ้นบ่อยมากของคนใช้รถส่วนตัวเป็นประจำ ถ้ามีเราลืมปิดไฟไม่ว่าจะเป็นไฟหน้ารถ หรือไฟภายในรถไฟที่นั่งผู้โดยสารซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้มักจะเกิดขึ้นเวลากลางคืน ระบบไฟฟ้าจะถูกทำงานต่อไปเรื่อยๆ โดยแบตเตอรี่มีการกระจายสัญญาณไฟฟ้าทำงานอยู่ตลอดเวลา ซึ่งนั้นทำให้แบตเตอรี่ทำงานหนักหรือมีการดึงไฟไปใช้งานจนหมด ถ้ามีเหตุกาณ์แบบนี้บ่อยครั้งอาจจะทำให้แบตเตอรี่ใช้งานหนักเกินจริงและเสื่อมสภาพได้ก่อนเวลาอันควร
จอดรถทิ้งไว้นาน – เรามักเคยได้ยินเสมอสำหรับบ้านไหนที่มีรถหลายคัน เขาเหล่านั้นต้องค่อยมาสตาร์ทเพื่อเป็นการดูแลรักษารถยนต์ทุกๆคันให้สามารถใช้งานปกติหรือสลับรถใช้งานอยู่ตลอด ซึ่งการจอดรถทิ้งไว้นานก็เป็นอาจจะเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่ของรถยนต์เสื่อมสภาพเนื่องจาก แบตเตอรี่รถยนต์ของจำเป็นต้องถูกชาร์จอย่างสม้ำเสมอ ซึ่งการชาร์จในที่นี้ก็คือการใช้งานขณะขับขี่ เพราะแบตเตอรี่รถยนต์ได้รับการออกแบบให้เก็บประจุไฟฟ้าไว้สักระยะหนึ่งเท่านั้น เพราะฉะนั้นแบตเตอรี่จึงต้องการกำลังไฟจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากระแสสลับหรือไดชาร์จ เพื่อชาร์จแบตเตอรี่ให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ เมื่อรถยนต์จอดทิ้งไว้นานไดชาร์จก็ไม่ถูกทำงาน เมื่อไดชาร์จไม่ทำงานแบตเตอรี่ก็จะค่อยๆ สูญเสียประจุไฟไปตามเวลา ในที่สุดแบตเตอรี่ก็อาจหมดและทำให้รถของคุณดับขณะใช้งานได้
ติดตั้งอุปกรณ์เสริมมากเกินจำเป็น – ปกติแล้วรถยนต์แต่คันถูกออกแบบมาพร้อมกับอุปกรณ์ใช้งานไฟฟ้าภายในรถที่ครอบคลุมการใช้งานอยู่แล้ว ซึ่งในรถแต่ละคันจะมีข้อจำกัดในการใช้ไฟฟ้าขึ้นอยู่กับขนาดของรถยนต์ตัวถังและขนาดของแบตเตอรี่ของแต่ละคัน ซึ่งการเพิ่มอุปกรณ์บางอย่างที่มีการใช้ไฟฟ้ามากขึ้นเช่น เครื่องเสียงพร้อมลำโพงชุดแต่ง, กล้องติดรถยนต์, ไฟตกแต่ง LED ที่รอบคันรถ อุปกรณ์เหล่านี้ล้วนแต่ต้องใช้กำลังไฟมากขึ่นเมื่อเอามาแต่งรถของคุณ ยิ่งมีการติดตั้งอุปกรณ์ยิ่งมีโอกาสที่ทำให้แบตเตอรี่ของรถคันนั้นใช้งานมากหนักขึ้นเช่นกัน
แบตเตอรี่ลัดวงจร – แบตเตอรี่ลัดวงจร เมื่อพูดถึงคำว่าลัดวงจรคำนี้ฟังดูเป็นอาการที่น่ากลัวเพราะบางทีเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแบตเตอรี่รถยนต์ของเราจะเกิดการลัดวงจรขึ้นมาตอนไหน ซึ่งในความเป็นจริงอาการแบตเตอรี่ลัดวงจร มักเกิดขึ้นกับรถยนต์ที่มีการใช้แบตเตอรี่เก่าใช้มาอย่างยาวนานเกิน 2 ปีขึ้นไป การลัดวงจรของแบตเตอรี่เป็นปัญหาภายในตัวแบตเตอรี่เกี่ยวกับตะกอนภายในก้อนแบตเตอรี่ หรือการเสื่อมสภาพของแผ่นธาตุขั่วบวกลบ ถ้าแบตตเตอรี่ของรถเรามีอายุการใช้งานที่ค่อนข้างนาน บวกกับรถยนต์ของคุณมีอุปกรณ์เสริมที่ใช้ไฟฟ้าค่อนข้างเยอะ โอกาสเกิดการลัดวงจรของแบตเตอรี่ก็จะสูงขึ้นเช่นกัน
น้ำกลั่นไม่สะอาด – สำหรับบ้านไหนๆ ที่ยังมีรถที่ใช้แบตเตอรี่น้ำและต้องมีการเติมน้ำกลั่นอยู่นั้น การเลือกคุณภาพน้ำกลั่นที่ดีเป็นข้อสำคัญของหนึ่งที่ส่งผลต่อการเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่ ถ้าเราเลือกน้ำกลั่นที่ไม่มีคุณภาพมาเติมให้กับแบตเตอรี่ของรถเรา ผลที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คือ แบตตเตอรี่จะมีการสะสมตัวตะกอนในแบตเตอรี่มากขึ้น ยิ่งมีตะกอนมากยิ่งส่งผลต่อการทำงานและการเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่โดยตรง
อุณหภูมิและสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม – สภาพอากาศและการดูแลรถยนต์ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่มีผลต่อการเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่รถยนต์ไม่ว่าจะร้อนหรือเย็นเกินไปอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของแบตเตอรี่รถยนต์ สภาพอากาศที่ร้อนเกินไปสามารถเร่งปฏิกิริยาเคมีภายในแบตเตอรี่และทำให้เกิดความร้อนสูงเกินไป หากสภาพอากาศเย็นจัด อาจทำให้ความจุของแบตเตอรี่ลดลง ทำให้แบตเตอรี่ทำงานหนักขึ้นและสร้างความร้อนมากขึ้นระหว่างการทำงาน ซึ่งทั้งนี้การหมั่นดูแลรักษารถยนต์ของแต่บ้านเป็นหนึ่งในปัจจัยที่มีผลต่อการเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่รถยนต์เช่นกัน
แม้วันนี้รถของคุณจะยังไม่มีอาการแบตเสื่อมอย่างชัดเจน ผู้ใช้งานรถยนต์ส่วนตัวทุกคนสามารถดูแลแบตเตอรี่เพื่อให้มีอายุการใช้งานยาวขึ้นได้โดยทำตามวิธีนี้
เมื่อเริ่มรู้สึกว่าแบตเตอรี่ในรถยนต์เริ่มมีอาการผิดปกติ เช่น สตาร์ทรถติดยาก ไฟหน้าสว่างน้อยลง หรือใช้งานอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในรถแล้วรู้สึกไม่เหมือนเดิม สิ่งสำคัญคือการไม่เพิกเฉย เพราะหากปล่อยไว้ อาจทำให้เกิดปัญหาใหญ่ในอนาคตได้ ลองดูวิธีการแก้ไขเบื้องต้นเหล่านี้ ที่จะช่วยให้คุณรับมือกับแบตเตอรี่เสื่อมได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย:
หากรถสตาร์ทไม่ติดเพราะแบตเตอรี่เสื่อม วิธีเบื้องต้นที่สามารถช่วยได้ทันทีคือการ จั๊มแบตเตอรี่ โดยใช้อุปกรณ์ Jump Start หรือใช้แบตรถยนต์คันอื่นมาช่วยพ่วงสตาร์ท วิธีนี้เหมาะสำหรับกรณีฉุกเฉิน เช่น รถดับกลางทาง หรือสตาร์ทไม่ติดตอนเช้า แต่ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง และอ่านคู่มือการใช้งานอย่างละเอียด เพื่อป้องกันไฟช็อตหรือความเสียหายกับระบบไฟในรถ
ถ้าแบตเตอรี่ยังไม่หมดสภาพมาก อาจสามารถ ฟื้นฟูแบตเตอรี่ด้วยการชาร์จไฟใหม่ ได้ โดยใช้เครื่องชาร์จแบตเตอรี่ที่มีคุณภาพ เชื่อถือได้ วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีเครื่องมือชาร์จที่บ้าน หรือสามารถนำรถเข้าศูนย์บริการให้ช่างช่วยตรวจสอบว่าแบตเตอรี่สามารถชาร์จซ้ำได้หรือไม่ หากแบตยังสามารถเก็บไฟได้ดีอยู่ ก็อาจไม่ต้องเปลี่ยนใหม่ทันที
สำหรับรถที่ใช้แบตเตอรี่ชนิดเติมน้ำกลั่น การตรวจสอบระดับของน้ำกลั่นถือเป็นเรื่องสำคัญมาก หากน้ำกลั่นแห้งหรืออยู่ในระดับต่ำกว่าที่กำหนด อาจส่งผลให้แผ่นธาตุภายในแบตเตอรี่เสียหายและเร่งให้แบตเสื่อมเร็วยิ่งขึ้น ดังนั้นควร ตรวจสอบและเติมน้ำกลั่นอย่างสม่ำเสมอ ทุกเดือน หรือก่อนเดินทางไกล โดยใช้น้ำกลั่นแท้ที่สะอาด เพื่อยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ให้นานที่สุด
หากได้ลองทั้งจั๊มแบต ชาร์จไฟ หรือเติมน้ำกลั่นแล้ว แต่ยังมีปัญหาสตาร์ทรถยากหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าในรถทำงานผิดปกติอยู่เรื่อย ๆ นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าแบตเตอรี่ของคุณ เสื่อมสภาพจนไม่สามารถใช้งานต่อได้อีกแล้ว การเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพื่อความมั่นใจในการใช้งานรถยนต์ทุกครั้งที่สตาร์ท ไม่ต้องเสี่ยงติดขัดระหว่างเดินทาง และลดโอกาสเกิดปัญหากับระบบไฟฟ้าอื่น ๆ ในรถอีกด้วย
หากแบตเตอรี่ของคุณเสื่อม และต้องการเปลี่ยนใหม่ แนะนำให้เลือก ESB Battery แบตเตอรี่คุณภาพสูง ที่ช่วยให้รถของคุณใช้งานได้ยาวนานขึ้น รองรับทุกการขับขี่ ไม่ต้องกังวลเรื่องแบตหมดกลางทาง!
✅ ทนทาน อายุการใช้งานยาวนาน
✅ เทคโนโลยีล้ำสมัย ชาร์จเร็ว ไม่เสื่อมง่าย
✅ เหมาะกับทุกสภาพอากาศของประเทศไทย
📌 สนใจเปลี่ยนแบตเตอรี่? ติดต่อ ESB Battery ได้เลย!
ปัญหาแบตเตอรี่เสื่อมไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับรถยนต์ที่ใช้งานมาแล้วเกิน 1 ปีขึ้นไป เพราะบางครั้งเราก็ไม่ทันสังเกตว่าอาการต่าง ๆ เช่น สตาร์ทรถติดยาก ไฟสว่างน้อยลง หรือกระจกไฟฟ้าทำงานช้า ล้วนเป็นสัญญาณเตือนของแบตเตอรี่เสื่อมโดยที่เราไม่รู้ตัว การรู้เท่าทันสาเหตุ ตั้งแต่การลืมปิดไฟ จอดรถทิ้งไว้นาน ไปจนถึงอุปกรณ์เสริมที่ใช้ไฟเยอะเกินไป จะช่วยให้เราดูแลแบตเตอรี่ได้ดีขึ้น
นอกจากการสังเกตอาการแล้ว การหมั่นตรวจเช็ก และดูแลแบตเตอรี่เป็นประจำ เช่น ทำความสะอาดขั้วแบต เติมน้ำกลั่น และนำรถออกไปขับสัปดาห์ละ 1–2 ครั้ง ก็เป็นเคล็ดลับง่าย ๆ ที่จะช่วยยืดอายุแบตให้ใช้งานได้นานขึ้น
และเมื่อถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ อย่าลืมเลือกแบตที่เชื่อถือได้อย่าง ESB Battery ที่มีทั้งความทนทาน เทคโนโลยีล้ำสมัย และเหมาะกับสภาพอากาศเมืองไทย ให้คุณมั่นใจได้ว่า… รถจะพร้อมใช้งานทุกครั้งที่สตาร์ท ไม่มีสะดุดกลางทางแน่นอน