
รู้ไหมว่าแบตเตอรี่ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ มีโอกาสไฟหมดได้อย่างรวดเร็วแม้ไม่ได้ใช้งานหนัก นั่นเพราะมีตัวการเงียบที่ชื่อว่า Discharge หรือ “ดิสชาร์จ” ที่คอยดูดพลังงานออกจากแบตอย่างช้าๆ หลายๆ ครั้งจนแบตเตอรี่หมดทำให้รถสตาร์ทไม่ติด
ซึ่ง Discharge สามารถเกิดขึ้นได้กับแบตทุกลูก ไม่ว่าเก่าหรือใหม่หากไม่รู้จักและดูแลอย่างถูกวิธี อาจต้องเสียเงินเปลี่ยนแบตก่อนเวลา ESB เลยจะพาไปทำความเข้าใจ Discharge ว่าคืออะไร มีอาการอย่างไร เพื่อป้องกันแบตเสื่อม
เวลาพูดถึง Discharge หรือ ดิสชาร์จ ในแบตเตอรี่รถยนต์ จริงๆ แล้วแบ่งออกได้เป็น 3 แบบหลักๆ แต่ละแบบมีผลต่ออายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ไม่เหมือนกัน และถ้าไม่แยกให้ออกก็อาจเข้าใจผิดได้ง่าย ดังนั้นเราทำความรู้จัก Discharge ทั้ง 3 แบบกัน

Discharge คือการคายประจุที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติของแบตเตอรี่ ทุกครั้งที่รถถูกจอดทิ้งไว้ แบตจะค่อยๆ สูญเสียพลังงานออกไปเล็กน้อยแม้ไม่มีการใช้งาน นี่เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้และเกิดขึ้นกับแบตทุกชนิด
อย่างไรก็ตาม การดิสชาร์จในระดับนี้ถือว่าไม่อันตราย เพราะปริมาณที่หายไปจะถูกเติมกลับเมื่อมีการสตาร์ทและใช้งานรถเป็นประจำ แต่ถ้าปล่อยรถจอดนานเกินไปโดยไม่สตาร์ทเลย ก็อาจทำให้ไฟอ่อนจนสตาร์ทติดยาก และกลายเป็นปัญหาได้เช่นกัน
Deep Discharge คือการปล่อยให้ไฟในแบตลดลงจนถึงระดับต่ำมากๆ การดิสชาร์จประเภทนี้สร้างความเสียหายต่อแผ่นธาตุภายใน ทำให้เก็บไฟฟ้าได้น้อยลงทันที และยิ่งเกิดซ้ำบ่อยเท่าไหร่ แบตก็จะยิ่งเสื่อมเร็วกว่าที่ควร
สาเหตุหลักมาจากพฤติกรรมการใช้งาน เช่น เปิดไฟหรือเครื่องเสียงทิ้งไว้ขณะดับเครื่อง หรือจอดรถโดยไม่ติดเครื่องเป็นเวลานานเกินไป แม้ยังพอชาร์จกลับมาได้ แต่ Deep Discharge แต่ละครั้งจะทำให้อายุการใช้งานแบตสั้นลงเรื่อยๆ

Over Discharge คือ อาการที่แบตเตอรี่ถูกใช้งานจนไฟหมดเกินกว่าระดับที่ควรจะเป็น ไม่ใช่เพียงแค่แบตอ่อน แต่คือการปล่อยให้แรงดันไฟตกต่ำกว่าขีดปลอดภัย ซึ่งทำให้แบตเสื่อมสภาพจนไม่สามารถกลับมาใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ
อาการที่ตามมาชัดเจนคือรถสตาร์ทไม่ติด และไม่สามารถชาร์จได้ เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ เจ้าของรถแทบไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการเปลี่ยนแบตใหม่ ทำให้เสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น
การเกิด Discharge จะทำให้ไฟในแบตเตอรี่ลดลงเรื่อยๆ หากรถถูกจอดทิ้งไว้นานโดยไม่สตาร์ท ไฟที่หายไปจะไม่ได้รับการชดเชยกลับเข้ามา ส่งผลให้แรงดันไฟต่ำลงจนสตาร์ทติดยาก และถ้าเกิดบ่อยครั้ง แบตก็จะเสื่อมเร็วกว่าที่ควรจะเป็น
ในกรณีของ Deep Discharge หรือ Over Discharge ความเสียหายจะรุนแรงยิ่งกว่า เพราะแผ่นธาตุภายในถูกทำลายจนเก็บไฟได้ไม่เต็มเหมือนเดิม สุดท้ายคือแบตหมดเร็วกว่าปกติ และอาจถึงขั้นต้องเปลี่ยนใหม่ก่อนอายุการใช้งานจริง
แม้การเกิด Discharge จะเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็มีวิธีช่วยลดความเสี่ยงไม่ให้แบตหมดเร็วเกินไปได้ง่ายๆ เพียงแค่ปรับพฤติกรรมการใช้งานบางอย่างก็ช่วยยืดอายุแบตให้ใช้งานได้นานขึ้น

แบตจะเกิดการ Discharge ตลอดเวลา แม้รถจะขับหรือจอดนิ่ง เพราะแบตมีการคายไฟเองตามธรรมชาติ และยังมีระบบบางอย่างที่กินไฟอยู่เสมอ เช่น นาฬิกา ระบบกันขโมย หรือกล่องควบคุมเครื่องยนต์ ทำให้เมื่อเวลาผ่านไปไฟในแบตจะค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ
การสตาร์ทรถเป็นประจำช่วยแก้ปัญหานี้ได้ง่ายๆ เพียงติดเครื่องสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ให้ไดชาร์จทำงานและเติมไฟกลับเข้าแบต วิธีนี้ช่วยรักษาแรงดันไฟ ลดโอกาสแบตหมดไว และทำให้รถพร้อมใช้งานได้ทุกครั้งที่ต้องการ
หลายคนชอบเปิดไฟในรถ ฟังเพลง หรือเสียบชาร์จมือถือขณะที่ดับเครื่องยนต์อยู่ แต่การกระทำเหล่านี้ทำให้เกิด Discharge โดยตรง เพราะไฟที่ใช้ออกมาถูกดึงจากแบตเพียงอย่างเดียว ไม่มีไฟจากไดชาร์จเติมเข้ามาเพื่อชดเชย
หากทำบ่อยๆ ไฟในแบตจะลดลงเร็วกว่าปกติ จนเกิดอาการแบตเสื่อมและสตาร์ทไม่ติดในที่สุด ทางที่ดีหากต้องใช้อุปกรณ์ไฟฟ้า ควรสตาร์ทเครื่องไว้ด้วย จะช่วยให้ระบบไฟทำงานสมดุล และป้องกันไม่ให้แบตถูกดึงไฟออกไปมากจนเกินไป

บางครั้งแบตหมดไวไม่ใช่เพราะ Discharge อย่างเดียว แต่เกิดจากไดชาร์จทำงานไม่เต็มที่ ไฟที่ควรกลับเข้าไปเติมแบตเลยหายไป ทำให้แบตมีไฟลดลงตลอดเวลา เพราะถูกใช้ทางเดียวโดยไม่ได้รับการชาร์จกลับมา
ถ้าสังเกตเห็นอาการไฟหน้าหรี่ แบตหมดเร็วกว่าปกติ หรือสตาร์ทติดยาก ควรนำรถไปให้ช่างตรวจระบบไฟทันที การแก้ปัญหาแต่เนิ่นๆ จะช่วยยืดอายุแบต และลดโอกาสที่ต้องเปลี่ยนใหม่ก่อนเวลา
การใช้แบตที่ไม่ตรงสเปก เช่น ค่า CCA ต่ำเกินไป หรือขนาดไม่พอดีกับช่องวางแบต อาจทำให้เกิด Discharge ได้ง่ายกว่าเดิม เพราะแบตไม่สามารถรองรับการจ่ายไฟตามที่รถต้องการ ผลที่ตามมาคือแบตหมดไว และเสื่อมเร็วกว่าที่ควรจะเป็น
นอกจากเรื่องสเปกแล้ว คุณภาพของแบตก็มีผลโดยตรง แบตที่ผลิตตามมาตรฐานและมีวัสดุที่ทนทาน จะรับมือกับการคายประจุซ้ำๆ ได้ดีกว่า และช่วยให้ระบบไฟทำงานเสถียร การเลือกแบตตรงสเปกและได้มาตรฐานจึงเป็นวิธีง่ายๆ ที่ทำให้แบตใช้งานได้ยาวนานและคุ้มค่าที่สุด

การเกิด Discharge เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับแบตเตอรี่รถยนต์ เพราะทั้งกระบวนการภายในและระบบไฟฟ้าเล็กๆ ในรถยังคงใช้ไฟอยู่ตลอด แม้รถจะจอดนิ่งๆ ก็ตาม แต่ถ้ารู้จักวิธีดูแลให้ถูกต้อง เช่น สตาร์ทรถเป็นประจำ หลีกเลี่ยงการใช้ไฟฟ้าในรถตอนดับเครื่อง และตรวจระบบไฟอย่างสม่ำเสมอ ก็ช่วยลดโอกาสที่แบตจะหมดไวเกินไปได้จริง
อีกสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือการเลือกใช้แบตที่ตรงสเปกและได้มาตรฐาน เพราะแบตคุณภาพสูงจะทนต่อการ Discharge ได้ดีกว่า และรองรับการใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ ทำให้ไม่ต้องเปลี่ยนแบตถี่ๆ และลดความเสี่ยงรถสตาร์ทไม่ติดในเวลาที่ไม่คาดคิด ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว
สุดท้าย เมื่อถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนแบต การเลือกใช้แบตที่ผ่านการทดสอบจากโรงงานและมีมาตรฐาน เช่น ESB Battery มั่นใจได้ในเรื่องของความ อึด ถึก ทน ไม่ว่าจะขับรถแบบไหนก็มีแบตให้เลือก
