
ไม่ว่าคุณขับรถใกล้หรือไกล ปัญหาที่ไม่มีใครอยากเจอคือ รถเสียกลางทางเพราะนอกจากจะทำให้เสียเวลาแล้ว ยังเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน หรืออันตรายในที่เปลี่ยว ซึ่งหลายครั้งที่รถเสียไม่ได้มาแบบฉับพลัน แต่เริ่มจากสัญญาณเตือนเล็กๆ ที่คนขับรถส่วนใหญ่มักมองข้าม
ในบทความนี้ ESB Battery จึงรวบรวม 10 สัญญาณเตือนที่คนขับรถควรสังเกต เพื่อป้องกันก่อนปัญหาลุกลาม จนเกิดรถดับหรือพังกลางทาง เพราะยิ่งรู้เร็วสังเกตไวเท่าไหร่ โอกาสเกิดปัญหารถเสียก็ยิ่งต่ำลง ซึ่งจะมีอะไรบ้างไปดูกัน
รถยนต์ก็ไม่ต่างจากร่างกายคนเรา เวลาเริ่มไม่สบายก็มักจะส่งสัญญาณเตือนออกมาเหมือนกัน เพียงแต่แทนที่จะไอหรืออ่อนเพลีย รถเลือกบอกเราด้วยไฟ เสียงดัง หรือกลิ่นแปลกๆ ซึ่งถ้าเจ้าของไม่ทันสังเกต 10 สัญญาณเหล่านี้ ก็เตรียมลุ้นได้เลยว่ารถจะเสียตรงไหน งั้นเราลองไปดูกันดีกว่าว่า 10 สัญญาณมีอะไรบ้าง

อาการแรกที่ควรสังเกต คือ เวลาสตาร์ทรถแล้วเครื่องยนต์หมุนช้า หรือจำเป็นต้องบิดกุญแจซ้ำหลายครั้งกว่ารถจะติด อาการนี้สะท้อนให้เห็นว่าระบบไฟฟ้าเริ่มมีปัญหา ใช้งานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ หากยังขับใช้งานโดยไม่ตรวจสอบ ความเสี่ยงที่รถจะสตาร์ทไม่ติดอีก ก็มีมากขึ้น
โดยสาเหตุมักเกิดจากแบตเตอรี่เสื่อมเก็บไฟไม่เต็ม ไดชาร์จไม่สามารถส่งไฟได้ไม่สม่ำเสมอ หรืออาจเป็นปัญหาจากสายไฟและขั้วแบตที่เริ่มหลวม ทำให้กระแสไฟไม่สามารถไหลได้ตามปกติ ดังนั้นตรวจสอบจุดเหล่านี้ตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อป้องกันไม่ให้รถเสียกลางทาง
อีกหนึ่งสัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้ามคือไฟเครื่องยนต์ปรากฏขึ้นบนหน้าปัด หลายคนอาจคิดว่าแค่ไฟโชว์เฉยๆ ไม่ได้มีผลกับการขับขี่ เพราะรถยังวิ่งได้ตามปกติ แต่ในความจริงแล้วนี่เป็นตัวบ่งชี้ว่าระบบการทำงานภายในกำลังมีปัญหา

โดยสาเหตุที่ทำให้ไฟเครื่องยนต์ติดขึ้นมาอาจหลากหลาย ตั้งแต่การเผาไหม้เชื้อเพลิงที่ไม่สมบูรณ์ ระบบไฟฟ้าและสายเซนเซอร์ที่ทำงานผิดพลาด ไปจนถึงปัญหาการจ่ายเชื้อเพลิงหรือระบบควบคุมการทำงานของเครื่องยนต์ที่ไม่เสถียร เมื่อเจออาการนี้จึงไม่ควรชะล่าใจ การนำรถเข้าตรวจเช็กตั้งแต่แรกจะช่วยลดค่าใช้จ่ายการซ่อมบำรุง และป้องกันไม่ให้ปัญหาลุกลามจนกลายเป็นเหตุรถเสียกลางทาง

ถ้าขับรถอยู่ดีๆ แล้วได้กลิ่นเหมือนเหม็นไหม้ หรือกลิ่นน้ำมันลอยเข้ามาในรถ อย่าชะล่าใจเด็ดขาด เพราะกลิ่นพวกนี้ไม่ควรมีอยู่หากรถทำงานปกติ ทั้งยังเป็นสัญญาณเตือนว่ามีจุดใดจุดหนึ่งเริ่มเสื่อมหรือมีความร้อนสูงผิดปกติ
ซึ่งอาจจะมาจากสายไฟกรอบ สายพานไหม้ น้ำมันเครื่องหรือน้ำมันเกียร์รั่ว หรือแม้แต่เบรกที่ติดจนเสียดสีเกินพอดี ถ้าขับต่อโดยไม่เช็ก อาจเกิดอุบัติเหตุหรือไฟลุกในห้องเครื่องได้จริง การได้กลิ่นไหม้แม้เพียงเล็กน้อย ก็ควรจะเข้าร้านเพื่อนให้ช่างตรวจเช็กอย่างละเอียด
เสียงแปลกๆ ที่รถส่งออกมา มักไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่คือสัญญาณแห่งปัญหา เพราะถ้าคุณได้ยินเสียง กรุ๊งกริ๊ง เวลาเลี้ยว เสียงหอนตอนเร่ง หรือเสียงแต๊กๆ จากห้องเครื่อง นั่นคือคำเตือนจากรถที่บอกว่ามีบางอย่างไม่ปกติ
เพราะต้นเสียงอาจมาจากชิ้นส่วนหลวม สึกหรอ หรือเสียดสีกันเกินพอดี เช่น ระบบช่วงล่าง ลูกปืน ล้อ หรือแม้แต่เครื่องยนต์ หากยังขับต่อโดยไม่ตรวจสอบ เสียงเหล่านี้อาจนำไปสู่ความเสียหายที่รุนแรงกว่าเดิม และจบลงด้วยการที่รถต้องจอดเสียโดยไม่ทันตั้งตัว

แอร์ที่เคยเย็นเจี๊ยบ กลับกลายเป็นลมอุ่นๆ หรือบางครั้งก็พ่นลมเบาเหมือนหายใจรดต้นคอ อาการแบบนี้บอกได้ชัดว่าระบบปรับอากาศเริ่มมีปัญหา และถ้ายังทนขับไปแบบร้อนๆ หงุดหงิด บอกเลยว่าไม่ใช่เรื่องที่ควรปล่อยผ่าน
สาเหตุอาจมาจากน้ำยาแอร์รั่ว คอมเพรสเซอร์เสื่อม ตู้แอร์อุดตัน หรือระบบไฟฟ้าที่ควบคุมการทำงานมีปัญหา บางกรณีลมที่ออกมาอาจมีกลิ่นแปลก กลิ่นอับ หรือกลิ่นเหม็น ซึ่งล้วนสะท้อนถึงความผิดปกติภายใน ถ้าละเลยไปเรื่อยๆ อาจไม่ใช่แค่ร้อน แต่อาจพาให้ระบบไฟฟ้าหลักรวนตามมาด้วย
การสั่นสะเทือนของรถที่รุนแรงแตกต่างจากปกติ ไม่ว่าจะเกิดขณะจอดรอสัญญาณไฟหรือขณะขับ ถือเป็นสัญญาณบ่งบอกว่ามีบางส่วนของรถทำงานผิดพลาด ซึ่งต่างจากการขับตามปกติที่รถควรจะราบรื่นและเสถียร
ปัญหานี้มักเกิดจากล้อไม่สมดุล ยางสึกหรอไม่เท่ากัน หัวเทียนชำรุด หรือฐานยึดเครื่องยนต์ที่หลวม รวมถึงระบบช่วงล่างที่เริ่มเสื่อม การขับต่อโดยไม่แก้ไขอาจทำให้เกิดความเสียหายที่ร้ายแรงขึ้น และอาจนำไปสู่อันตรายบนท้องถนนได้
ถ้าพบว่าต้องเติมน้ำหล่อเย็นบ่อยกว่าที่เคย หรือสังเกตเห็นระดับน้ำในถังพักลดลงเรื่อยๆ แม้จะเพิ่งเติมไปไม่นาน นี่คือสัญญาณที่บอกชัดเจนว่าระบบหล่อเย็นมีปัญหา เพราะในสภาพปกติน้ำหล่อเย็นจะไหลเวียนอยู่ในระบบปิด ไม่ควรหมดหรือลดลงอย่างรวดเร็ว
สาเหตุส่วนใหญ่มาจากการรั่วซึมของหม้อน้ำ สายยาง ปะเก็น หรือฝาถังน้ำที่ไม่สนิท บางครั้งอาจเป็นปั๊มน้ำที่ชำรุดหรือหม้อน้ำอุดตัน ถ้าปล่อยให้เครื่องยนต์ทำงานโดยขาดน้ำหล่อเย็น อุณหภูมิจะสูงเกินไปจนอาจทำให้เครื่องยนต์เสียหายถาวร หรือเกิดอาการรถดับกลางทางได้
เวลาเปลี่ยนเกียร์แล้วรู้สึกว่ากระตุก ดื้อ หรือต้องใช้แรงมากกว่าเดิม แสดงว่าระบบส่งกำลังเริ่มมีปัญหาแล้ว โดยเฉพาะรถเกียร์ธรรมดาที่อาจรู้สึกได้ชัดว่าคันเกียร์ขยับไม่ลื่น หรือรถเกียร์อัตโนมัติที่มีอาการกระตุกเวลาเปลี่ยนช่วงเกียร์
ปัญหามาจากน้ำมันเกียร์ที่เสื่อมคุณภาพ คลัตช์สึกหรอ หรือปั๊มไฮดรอลิกทำงานไม่เต็มที่ บางกรณีอาจเป็นระบบเซ็นเซอร์หรือวาล์วควบคุมในเกียร์ออโต้ที่ขัดข้อง ถ้าไม่รีบเข้าตรวจ อาจลงเอยด้วยการเปลี่ยนชุดเกียร์ทั้งระบบซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงมาก
ควันไอเสียไม่ควรมีสีที่ชวนสะดุดตา เพราะเมื่อควันไอเสียเริ่มออกสีฟ้า ขาว หรือดำผิดไปจากปกติ นั่นคือสัญญาณเตือนว่ามีบางอย่างในระบบเผาไหม้หรือเครื่องยนต์ทำงานผิดพลาด การเปลี่ยนแปลงของควันจึงไม่ใช่เรื่องเล็ก และไม่ควรละเลย
ควันฟ้ามักเกิดจากน้ำมันเครื่องรั่วเข้าไปในห้องเผาไหม้ ควันขาวอาจหมายถึงน้ำหล่อเย็นรั่วซึมเข้าสู่ระบบ ส่วนควันดำมักเกี่ยวข้องกับการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์หรือหัวฉีดมีปัญหา ควันที่ผิดปกติเหล่านี้คือสิ่งที่บอกล่วงหน้าว่าอาจมีปัญหาใหญ่รออยู่ ถ้าไม่รีบตรวจสอบ ก็มีโอกาสสูงที่รถจะเสียกลางทาง

น้ำมันที่รั่วซึมออกจากรถ แม้จะมีปริมาณเพียงเล็กน้อย ก็ถือเป็นความผิดปกติที่ไม่ควรมองข้าม เพราะของเหลวเหล่านี้มีหน้าที่สำคัญในการหล่อลื่นและควบคุมอุณหภูมิของชิ้นส่วนภายใน หากเกิดการรั่วในระบบ จะส่งผลโดยตรงต่อสมรรถนะของรถ
สาเหตุที่พบบ่อย เช่น ซีลยางเสื่อมสภาพ ท่อน้ำมันแตกร้าว หรือข้อต่อหลวม ซึ่งอาจเกิดได้ทั้งที่อ่างน้ำมันเครื่อง ระบบเกียร์ หรือระบบเบรก หากไม่ตรวจเช็กและแก้ไขทันที การรั่วเล็กน้อยอาจลุกลามเป็นความเสียหายรุนแรงที่ทำให้รถต้องหยุดใช้งานกลางทาง
เมื่อรถเกิดอาการเสียระหว่างทาง สิ่งแรกที่ควรทำคือ “ตั้งสติ” และหาทางจอดในที่ปลอดภัยให้เร็วที่สุด ไม่ควรฝืนขับต่อหรือจอดในจุดเสี่ยง เช่น ทางโค้ง จุดอับสายตา หรือกลางทางด่วน จากนั้นเปิดไฟฉุกเฉินทันทีเพื่อเตือนรถคันอื่น และหากมีป้ายสามเหลี่ยมสะท้อนแสงควรวางไว้ด้านหลังรถในระยะที่ปลอดภัย
หลังจากจอดรถได้อย่างเหมาะสมแล้ว ให้ประเมินสถานการณ์เบื้องต้นว่าปัญหานั้นสามารถแก้ไขด้วยตนเองได้หรือไม่ เช่น การเช็กขั้วแบต สายน้ำมัน หรือยางรั่ว หากไม่แน่ใจ ควรโทรขอความช่วยเหลือจากประกันภัย รถยก หรืออู่ที่ไว้ใจได้ อย่าเสี่ยงซ่อมเองในพื้นที่ที่ไม่ปลอดภัย เพราะอาจเกิดอันตรายได้

เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินบนท้องถนน การมีเบอร์โทรที่จำเป็นไว้ในมือจะช่วยให้คุณขอความช่วยเหลือได้รวดเร็วและปลอดภัยมากขึ้น เบอร์สำคัญที่ควรบันทึกไว้ มีดังนี้
อาการผิดปกติเล็กๆ อย่างเสียงดัง กลิ่นแปลก หรือไฟโชว์บนหน้าปัด หลายครั้งไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้าที่รถพยายามบอกเรา การมองข้ามเพียงเล็กน้อยอาจทำให้ปัญหาลุกลาม จนกลายเป็นเหตุให้รถต้องหยุดกลางทางในเวลาที่ไม่คาดคิด การสังเกตและแก้ไขตั้งแต่เนิ่นๆ จึงเป็นเกราะป้องกันที่ดีที่สุด
การดูแลรถให้พร้อมใช้งาน ไม่ได้อยู่แค่กับเครื่องยนต์หรือระบบช่วงล่างเท่านั้น แต่รวมถึงระบบไฟฟ้าและแบตเตอรี่ที่มักถูกละเลย ทั้งที่จริงแล้วถือเป็นหัวใจหลักของการขับขี่ เพราะถ้าแบตมีปัญหา ไม่ว่าจะระบบไหนก็พร้อมหยุดได้ทันที การเลือกแบตเตอรี่คุณภาพดีจึงช่วยให้คุณมั่นใจได้มากขึ้นทุกครั้งที่สตาร์ทรถ
สำหรับคนใช้รถในทุกวัน การมีแบตเตอรี่ที่ไว้ใจได้จึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะช่วยลดโอกาสปัญหาสตาร์ทไม่ติดหรือรถดับกลางทาง แค่มั่นใจว่ามีตัวช่วยดีๆ อย่าง ESB Battery ก็ทำให้ทุกการเดินทางราบรื่นขึ้น และไม่ต้องกังวลกับเหตุไม่คาดคิดบนท้องถนน
Q: รถเสียบนทางด่วนทำยังไง
A: ควรตั้งสติและหาทางจอดที่ไหล่ทางหรือจุดปลอดภัย เปิดไฟฉุกเฉินทันที พร้อมตั้งป้ายสามเหลี่ยมสะท้อนแสงไว้ด้านหลังรถ หากแก้ไขเองไม่ได้ให้โทรสายด่วนการทางพิเศษ 1543 หรือประกันภัยเพื่อขอความช่วยเหลือ
Q: รถเสียกลางทางควรโทรหาใคร
A: ลำดับแรกควรโทรแจ้งตำรวจทางหลวงที่ 1193 หรือสายด่วนกรมทางหลวง 1586 หากอยู่ในเมืองสามารถโทรขอความช่วยเหลือจากตำรวจจราจร 1197 หรือเบอร์ฉุกเฉินของบริษัทประกันภัยที่ทำไว้ก็ได้เช่นกัน
Q:รถเสียกลางคืนควรทำอย่างไรให้ปลอดภัย?
A: ควรหาที่จอดที่มีแสงสว่าง เปิดไฟฉุกเฉิน และอยู่ในรถโดยล็อกประตูไว้ ไม่ควรยืนรอริมถนนเพราะเสี่ยงอันตราย ควรโทรหาประกันภัย รถยก หรือหน่วยงานช่วยเหลือฉุกเฉินเพื่อเข้ามาช่วยโดยเร็วที่สุด
Q: รถยกราคาเริ่มต้นเท่าไหร่
A: ราคาค่ารถยกเริ่มต้นประมาณ 1,000 บาทขึ้นไป โดยขึ้นอยู่กับระยะทางและพื้นที่ หากในกรุงเทพหรือปริมณฑลอาจถูกกว่า แต่ถ้าเป็นต่างจังหวัดหรือระยะทางไกล ราคาจะสูงขึ้น แนะนำให้เช็คราคาและบริการกับประกันที่ทำไว้ก่อนเรียกรถยก
